บทที่ 10 เจ้าหมายถึงเรื่องใด

“บ้านข้ายากจน ใบชานี้ก็ทำเอง ไม่รู้จะถูกปากท่านหรือไม่”

“เพียงน้ำใจที่มอบให้ก็นับว่ามีค่ายิ่งนักแล้ว”

เหมยซิงรินน้ำชาให้ แต่ดวงตาลอบมองอาหมานด้วยความเป็นห่วง แต่เห็นดวงตาคู่นั้นเพียงแค่จ้องมองการเคลื่อนไหวของนาง ไม่มีแววร้องขอความช่วยเหลือใด นางก็ถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ  เสียเอี๋ยนสังเกตสายตาของซุนเว่ยหมินที่กลอกตามองตามร่างเล็กที่เดินออกไปแล้ว

“ท่านเชื่อใจนาง”  เสียเอี๋ยนถามยิ้ม ๆ นิสัยของชายผู้นี้ยากจะไว้ใจใครได้ง่าย

‘สภาพเช่นข้าไม่มีทางเลือกนัก’  เขาปากหนักเกินกว่าจะยอมรับสิ่งที่รู้สึกอยู่ข้างใน

“เห็นทีว่าข้าต้องขอความช่วยเหลือจากนางแล้ว”

‘เจ้าหมายถึงเรื่องใด’

“ข้าคงต้องการให้นางพาร่างนี้กลับเมืองหลวง”

‘ไยต้องเป็นนาง!’

“กว่าข้าจะหลบผู้คนออกมาตามหาท่านก็มิใช่เรื่องง่าย คนที่ลอบสังหารท่านก็ยังจับตัวไม่ได้ ที่ข้ามาที่นี่ก็มาเพียงลำพัง ร่างของท่านนั้นข้าให้เยี่ยนฉือองครักษ์ของท่านค่อยดูแลมิให้ใครเข้าใกล้” เสียเอี๋ยนชี้หน้าตัวเองแล้วฉีกยิ้ม “ข้าคิดว่าคนที่ลอบสังหารท่านยังติดตามข้าอยู่ หากข้าพาร่างนี้กลับเมืองหลวงต้องถูกตามราวีจนอาจกลับเข้าเมืองหลวงไม่ทัน  ข้าคิดว่าให้แม่นางน้อยพาท่านไป ส่วนข้าจะล่อหลอกพวกมันไปอีกทาง”

‘เจ้าหาผู้ที่ไว้ใจอื่นมิได้แล้วหรือ’  เขาไม่ต้องการให้นางต้องมาลำบากเพราะเขาอีก ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาอยู่ในชายที่มีร่างเป็นผักนี้  เขารู้สึกเวทนาตัวเองยิ่ง ร่างกายที่ขยับได้เพียงแค่กลอกตาไปมา และปลายนิ้วเพียงเล็กน้อย  ที่นี่มีเด็กเล็กและติงเชาที่เจ็บป่วยไม่แพ้กัน จึงมีแต่เหมยซิงที่คอยดูแลเขาทุกอย่าง เรียกว่าพื้นที่ในร่างกายนี้ ผ่านสายตาของนางมาแล้วทั้งนั้น  แม้เขาไม่ใช่เจ้าของร่างนี้ แต่ไม่รู้สึกยินดีที่ต้องให้ผู้อื่นมาคอยดูแลเช่นนี้

“ในเวลาเร่งด่วน และสถานการณ์เช่นนี้ เห็นทีว่ายากยิ่ง” เสียเอี๋ยน กลับยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน “อย่าได้กังวล ข้ามั่นใจว่านางยินดีพาร่างและดวงจิตของท่านไปเมืองหลวงเป็นแน่”

‘เพราะเหตุใด?’

บุรุษในชุดดำเหลือบตามองไปด้านหลัง รู้ว่าเด็กสาวหลบซ่อนไม่ไกลนัก เขาคลี่ยิ้มไม่คิดว่าที่นางทำเป็นการเสียมารยาท เพราะนางเป็นห่วงชายที่ขยับตัวไม่ได้คนนี้

“แม่นางน้อย ข้าขอเชิญทางนี้สักครู่เถิด”

“เอ่อ...”

เหมยซิงยิ้มแหย คิดว่าตัวเองซ่อนตัวแนบเนียนแล้วยังถูกจับได้อีก นางเดินออกมาแล้วยกมือเสยผมตัวเองแก้เขิน นิสัยเดิมตั้งแต่โลกโน้นยังนำมาใช้ในโลกนี้แม้จะอยู่คนละร่างแล้วก็ตาม

“แม่นาง”  เสียเอี๋ยนเรียกขึ้นน้ำเสียงกึ่งขบขัน แต่ที่อยากหัวเราะเพราะสายตาไม่พอใจของชายผู้ขยับตัวไม่ได้ต่างหาก

“เรียกข้าเหมยซิงก็ได้”  นางแนะนำตัว แต่เสียเอี๋ยนกลับเลิกคิ้วสูง

“นั้นใช่ชื่อของแม่นางน้อยแน่รึ”

“เอ๊ะ!”   หญิงสาวเผลอทำตาโตแล้วแสร้งทำเป็นไม่ตกใจกับคำพูดของเขา “ชื่อของข้า ข้าต้องจำได้ซิ”

เสียเอี๋ยนโน้มตัวลงยื่นหน้าไปใกล้ใบหน้าของเด็กสาว จ้องมองในดวงตาสีนิลที่จ้องตอบอย่างไม่มีท่าทีเกรงกลัว และหลบสายตาของเขา  ซุนเว่ยหมินฮึกฮักอย่างไม่พอใจที่เห็นเสียเอี๋ยนเข้าใกล้เช่นนั้นแต่เขาขยับตัวไม่ได้ นอกจากเสียงครางอืออาในลำคอที่ทำให้เหมยซิงรีบย้ายสายตากลับมามองทางเขา

“อาหมานเป็นอะไรไปรึ” เห็นเขาพยายามขยับตัวแล้ว นางอด เป็น ห่วงไม่ได้

“เขาไม่ได้เป็นอะไรแค่เป็นห่วงเจ้า”

“เป็นห่วงข้า?”  นางชี้ปลายนิ้วที่หน้าตัวเอง

เสียเอี๋ยนยิ้มให้ แต่เหมยซิงกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ประหลาดชอบกล  “ข้ามีเรื่องต้องขอความช่วยเหลือจากแม่นางน้อย”

“เรื่องใดกัน”

“พาคุณชายของข้ากลับเมืองหลวง”

เหยมซิงอ้าปากค้างแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงฉีกยิ้มอยู่เช่นเดิมคล้ายยืนยันคำพูดตัวเอง  นางจึงได้สติและเอ่ยปากถามต่อ

“เหตุใดเป็นข้า”

“ก่อนอื่นข้าต้องขอเล่าก่อนว่าคุณชายของข้าก็เป็นเช่นเจ้า”  เขายิ้มแบบคนที่เหนือกว่า และไม่รอให้อีกฝ่ายถามอะไรรีบชิงลงมือพูดก่อน  “ดวงจิตของคุณชายข้ามาอาศัยอยู่ในร่างของชายผู้นี้...เหมือนเจ้า”

“ท่าน...ท่านรู้”   เหมยซิงทำหน้าตื่นตกใจแล้วมองหน้าอาหมานสลับกับชายที่ชื่อเสียเอี๋ยนไปมาอย่างงุนงง  “ถ้าเช่นนั้น...”

“เรื่องที่เจ้าสงสัยข้าตอบให้ตอนนี้มิได้”  เสียเอี๋ยนรู้ว่านางจะถามอะไร “ดวงจิตของเจ้ามาจากอีกโลก แต่ร่างของคุณชายข้า และดวงจิตเพียงแค่อยู่กันคนละที่  ตอนนี้ร่างที่แท้จริงอยู่ที่เมืองหลวง ร่างนั้นหลับใหลไม่ตื่นฟื้นมาสามสิบราตรีแล้ว ดวงจิตจะอยู่นอกร่างเกินสี่สิบเก้าวันมิได้ ต้องรีบพาดวงจิตของคุณชายกลับคืนร่างให้เร็วที่สุด แต่ยามนี้ดวงจิตของคุณชายข้าอยู่ในร่างของคุณชายหานหงปิง จึงต้องพาร่างนี้ และดวงจิตกลับเมืองหลวงโดยเร็ว”

เหมยซิงไม่ได้คิดตามที่เสียเอี๋ยนพูด สมองนางหยุดคิดตั้งแต่ได้ยินสี่สิบเก้าวันแล้ว  นางมาอยู่ที่นี่เกือบสองเดือน... มิเท่ากับว่า นางในโลกโน้นได้ตายไปแล้วหรือ

เห็นสีหน้าตื่นตะลึง และซีดเซียวของเหมยซิงแล้ว ซุนเว่ยหมินทุกข์ร้อนในอกอย่างบอกไม่ถูก เขาได้แต่ส่งสายตาไปยังเสียเอี๋ยนที่ยังคงยิ้มกริ่มอย่างคนที่เหนือกว่า

‘เจ้าหมายถึงสิ่งใด ไยนางจึงเป็นเช่นนั้น’

“แม่นาง สิ่งที่เจ้าใคร่รู้ และสงสัยนั้น มิอาจได้คำตอบจากที่นี่”  เสียเอี๋ยนเอ่ยอย่างใจเย็น  “อาจมีบางสิ่งรอแม่นางอยู่ที่นั้น”

เหมยซิงได้สติจ้องตาของบุรุษในชุดดำเบื้องหน้า “หมายความว่าอย่างไร”

“ถ้าเจ้าอยากรู้คำตอบในทุกสิ่งที่สงสัย เจ้าต้องเดินทางไปเมืองหลวง เมื่อถึงที่นั้นข้าจะให้ความกระจ่างแก่เจ้าได้”

“...ถ้าข้าไม่อยากรู้แล้วล่ะ”  นางขมวดคิ้ว พูดในสิ่งตรงข้ามกับใจ

“เช่นนั้นข้าคงต้องขอร้องให้เจ้าไปส่งคุณชายของข้า”  เสียเอี๋ยนรู้ว่านางอยากรู้ถึงเรื่องของตนเองมากเพียงใด แต่เห็นนางตอบเช่นนี้ก็รู้สึกพอใจในความฉลาดเฉลียวของนาง

“แล้วเหตุใดท่านมิพาเขากลับไปด้วยตนเอง”

“ที่คุณชายของข้าเป็นเช่นนี้เพราะถูกคนลอบสังหาร หากเป็นข้าที่พาเขากลับไปคนร้ายย่อมรู้แน่ว่าคุณชายยังไม่ตายและลงมืออีก เช่นนั้นจะทำให้การเดินทางล่าช้า เพราะเรามีเวลาไม่มากนัก”

แม้ยามนี้ดวงจิตของซุนเว่ยหมินอยู่ในร่างคุณชายหานหงปิง แต่เขาก็เชื่อว่าเหล่านักฆ่าต้องไม่ปรานี  คนที่อยู่ใกล้เขาจะถูกต้องสงสัยทั้งสิ้น

“มีเวลาไม่มาก”  นางเอ่ยขึ้นแล้วหันไปทางอาหมาน  แม้ระยะนี้เขาดูแข็งแรงขึ้นกว่าวันแรกที่นางพบเขา แต่สภาพร่างกายเช่นนี้...

บทก่อนหน้า
บทถัดไป